วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Photo Magazine ปกอ่อน กระดาษ Premium ขนาด A4 จำนวน 38 หน้า

สวัสดีค่ะ Book Work by MASTER มีรีวิวผลงานสวยๆ มาให้ชมกันค่ะ
เป็นผลงาน Photo Magazine กระดาษ Premium ปกอ่อน
ซึ่งแต่ละรูปน่ารักทั้งนั้นและดูอบอุ่นเหมาะกับช่วงนี้ที่ใกล้ฤดูหนาวนี้



ด้านหน้าของ Photo Magazine


Zoom ให้เห็นหน้าปกแบบชัดๆ จะเห็นว่าตัวกระดาษมี Texture 
เวลาใช้มือจับแล้วจะรู้สึกพิเศษกว่า Photo Magazine ที่พิมพ์ด้วยกระดาษปกติค่ะ



เปิดมาด้านในส่วนรองปกจะเป็นสีขาว
หน้าแรกจะอยู่ด้านขวามือค่ะ





ตัวอย่างผลงานด้านในค่ะ


เนื้อกระดาษ Premium จะเป็นสีออกมุกค่ะ และมี Texture เล็กๆ
เวลาพิมพ์ออกมาจะสวยและดูหรูหราเป็นพิเศษ


เข้าเล่มแบบสันกาว


ปกหน้าและปกหลังของเล่มค่ะ



สำหรับลูกค้าที่สนใจสั่งทำ Photo Book หรือ Photo Magazine สำหรับโอกาสพิเศษแบบนี้
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Master Online โทร. 02-513-0105 (ทุกวัน 8.00-22.00 น.)
WEBSITE : www.masterphotonetwork.com
FACEBOOK : https://www.facebook.com/pages/Book-Work/282059275328002?ref=hl





















วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มือใหม่อยากซื้อกล้อง DSLR อ่านตรงนี้เลย !! TechXcite มีเทคนิคการเลือกซื้อกล้อง DSLR ให้อ่าน

มือใหม่อยากซื้อกล้อง DSLR อ่านตรงนี้เลย !! TechXcite มีเทคนิคการเลือกซื้อกล้อง DSLR ให้อ่าน

มือใหม่อยากซื้อกล้อง DSLR อ่านตรงนี้เลยครับ

TechXcite มีเทคนิคการเลือกซื้อกล้อง DSLR ให้อ่าน


สำหรับบทความนี้ TechXcite หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้มือใหม่ที่อยากเล่นกล้อง DSLR ได้อ่าน และได้ข้อคิดก่อนตัดสินใจซื้อกล้อง DSLR สักตัว สำหรับผู้ที่มองหากล้อง DSLR อยู่ คงอยากรู้ว่าจะต้องเลือกกล้องรุ่นไหน ยังไง ซื้อตัวไหนดีระหว่าง....กับ..... ซึ่งคำถามเหล่านี้จะผุดขึ้นในหัวทุกครั้งของมือใหม่ที่กำลังลังเลและมองหา กล้อง DSLR ดีๆสักตัวไว้ใช้งาน
นี่คือคำแนะนำในการคิดเลือกซื้อกล้อง DSLR ที่ TechXcite อยากจะแนะนำ เพราะไม่สามารถอธิบายเฉพาะเจาะจงเป็นยี่ห้อหรือรุ่นได้หมด และไม่สามารถฟันธงได้ว่ายี่ห้อไหนดีกว่ายี่ห้อไหนได้ ซึ่งหลายท่านเองมักจะมีคำถามคล้ายๆกันว่า Canon หรือ Nikon ดีกว่ากัน เป็นต้น (จริงๆแล้วยังมีอีกหลายยี่ห้อ เช่น Sony Pentax)
1. ถามตัวเองก่อนว่า พร้อมจะใช้ DSLR หรือยัง เพราะหากคุณเป็นมือใหม่จริงๆที่ไม่เคยจับกล้อง DSLR และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องถ่ายภาพ ขอแนะนำว่าไม่ควรใช้ DSLR แม้กล้อง DSLR จะช่วยให้ได้ภาพสวยมากๆก็จริง แต่ความสวยนั้นต้องแลกมาด้วยราคาและที่สำคัญ "ไม่ง่ายอย่างที่คิด" แน่ นอนว่าคุณต้องเสียเงินเพื่อแลกกับสารพัดเลนส์ที่ช่วยให้เก็บภาพได้ตามที่ ต้องการ เลนส์มาโครสำหรับถ่ายแมลง ถ่ายดอกไม้ ราคาไม่ต่ำกว่าหมื่น หากอยากถ่ายวิวกว้างๆ ต้องซื้อเลนส์มุมกว้างซึ่งราคากว่า2หมื่น ยังไม่นับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น แฟลช กระเป๋า เมมโมรี่การ์ด แถมคุณยังต้องมางงกับสารพัดเมนูที่กล้อง DSLR อาจทำให้กลายเป็นกล้องที่ถ่ายแล้วไม่สวยก็เป็นได้ ดังนั้นถามตัวเองว่าพร้อมแล้วใช่ไหมสำหรับการเล่นกล้อง DSLR หากคุณพร้อมแล้วที่จะใช้กล้อง DSLR และเป็นมือใหม่ที่พร้อมเรียนรู้ อ่านข้อต่อไปได้เลย
2. เตรียมงบประมาณ เมื่อพร้อมแล้วที่จะเอาดีและรักการถ่ายภาพจริงๆ หรือมีเงินเหลือใช้แล้วอยากได้กล้อง DSLR ไว้สะพายสักตัว ขอให้คุณเตรียมงบไว้เลยว่ามีงบเท่าไรที่จะลงทุนซื้อกล้อง DSLR สักตัว แต่ที่แน่ๆถ้าเป็นของใหม่ออกห้างแน่นอนว่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น (ซึ่งมือใหม่น้อยคนนักที่จะกล้าไปซื้อมือสองมาใช้) ดังนั้นเตรียมเงินในกระเป๋าไว้เลย และที่จะแนะนำต่อไปคือ เตรียมแค่ 2 หมื่น อาจจะไม่เพียงพอสำหรับโครงการกล้องตัวแรก เพราะคุณจะต้องซื้อฟิลเตอร์ ซื้อกระเป๋ากล้องมาอีกต่างหาก (ร้านค้าส่วนใหญ่ จะแถมฟิล์มกันรอย เมมโมรี่การ์ด ชุดทำความสะอาด หรือแม้แต่ขาตั้งกล้องที่ใช้จริงไม่ได้มาให้) เจียดงบส่วนต่างไว้อีกสัก 1000 บาทขึ้นไปสำหรับอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ด้วย สุดท้ายคือของดีย่อมมาพร้อมกับราคาที่แพงกว่า ขึ้นอยู่กับว่าซื้อมาแล้วได้ใช้เต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า
3. เลือกรุ่นตามงบประมาณที่ได้กำหนดไว้ กำตังค์ไว้ให้ดีแล้วจัดการหาข้อมูลว่ามีกล้องรุ่นใดบ้างที่อยู่ในงบประมาณ ที่วางไว้ จะซื้อเลนส์หรืออุปกรณ์เสริมอื่นด้วยหรือเปล่า (แต่มือใหม่ส่วนใหญ่มักจะมองหาแค่กล้องกับเลนส์คิทสักตัวก็บอกว่าพอแล้ว) แหล่งข้อมูลในปัจจุบันมีทั้ง อินเทอร์เน็ต นิตยสาร โบรชัวร์ เพื่อนๆรอบข้างที่พอมีความรู้หรือลองไปดูที่ร้านเลยก็ได้ จากนั้นจัดการรวบรวมรุ่นที่อยู่ในงบประมาณมาลองดูว่ามีรุ่นไหนบ้าง เช่นงบซื้อเฉพาะบอดี้กล้องไม่เกิน 30,000 บาท ลองดูว่ามีรุ่นไหนที่ราคาไม่เกินงบในกระเป๋าแล้วจดออกมา
4. อ่านสเป็คให้เป็นก่อน มือใหม่หลายท่านมักจะตั้งคำถามว่ารุ่นนี้ดีกว่าอีกรุ่นอย่างไร นี่เป็นเพราะว่าคุณเลือกรุ่นได้แล้วที่อยู่ในงบประมาณ แต่ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไร ทำไมอีกตัวแพงกว่าแค่ 2 พัน อีกยี่ห้อราคาเท่ากัน แล้วแบบนี้จะเลือกอย่างไรล่ะ มันต่างกันตรงไหนบ้าง ฉะนั้นคุณต้องอ่านสเป็คให้เป็นก่อนซื้อและขอบอกเลยว่าไอ้เจ้าสเป็คนี่แหละทำ เอาปวดหัวเพราะมันจะสาธยายเป็นตัวเลขและศัพท์แปลกๆที่ไม่รู้ว่าจะช่วยให่เรา ได้รูปสวยๆจริงหรือเปล่า การอ่านสเป็คจะเป็นสิ่งที่ช่วยตัดสินใจได้ในระดับหนึ่ง เช่น ที่ราคามันต่างกัน เพราะว่า มันมีหน้าจอบิดพับได้ ใช้แฟลชไร้สายได้ พร้อมแต่งภาพในตัวกล้องได้เลย เป็นต้น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่ากล้องตัวนั้นตกรุ่นราคามันเลยเท่ากับรุ่นเล็กที่ ออกมาใหม่ ดังนั้นแนะนำได้เลยว่าหาความรู้เกี่ยวกับการอ่านสเป็คไว้ก่อนซื้อกล้องไม่ เสียหาย ส่วนเรื่องค่ายกล้องนั้น ต้องบอกว่าแต่ละยี่ห้อก็มีเทคโนโลยีที่โดดเด่นของตัวเอง ฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณชื่นชอบยี่ห้อไหนเป็นทุนเดิมอยู่หรือเปล่า ยังไม่หมดนะ ยังไม่รวมถึงการคิดเผื่ออนาคตเมื่อต้องการอัพเกรดหรือซื้ออุปกรณ์เพิ่ม รวมถึงราคาขายต่อ (เหตุผลที่คุณเห็น Nikon และ Canon เดินกันเกลื่อนเมืองก็เพราะซื้อง่ายขายคล่องนี่แหละ ยังไม่รวมถึงอุปกรณ์เสริมที่หาง่าย มีให้เลือกหลากหลายกว่ายี่ห้ออื่นๆ)
5. ไปลองจับตัวจริง แนะนำแบบนี้เพราะว่าคุณจะรู้สึกได้เลยว่าถูกชะตากับตัวไหน แถมได้รู้ด้วยว่าร้านไหนต้อนรับและมองคุณเป็นลูกค้ามากกว่าเป็นหมูให้ฟัน หรือบางร้านอาจจะไม่แยแส ถามคำตอบคำ แบบนี้อย่าหวังเรื่องบริการหลังการขายเลย การได้ลองตัวจริงคุณจะได้รู้ว่าจับถือถนัดมือหรือไม่ ปุ่มกดต่างๆใช้ง่ายหรือไม่ หรือหน้าตาตัวไหนถูกใจ เรียกว่ากล้องตัวไหนจับแล้วรู้สึกว่ามันกำลังยิ้มให้คุณ เลือกตัวนั้นแหละ เนื้อคู่กันแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ดูมาแล้วทั้งสเป็กทั้งราคา เหลือแค่สัมผัสตัวเป็นๆนี่แหละ
6. รับประกันหลังการขาย เนื่องจากปัจจุบันกล้อง DSLR มีการขายที่เรียกกันว่าประกันร้าน ประกันศูนย์ กล้องที่เรียกว่าประกันร้านนั่นก็คือกล้องที่ไม่มีการรับประกันจากบริษัทที่ นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ บางครั้งก็เรียกกันว่ากล้องหิ้วเพราะเปิดกล่องออกมาต้องผงะกับใบรับประกัน ภาษาฮิบรู แถมคู่มือการใช้งานยังเป็นภาษาฮิบรูด้วยอีกต่างหาก ยังไม่พอครับถ้าแจ็กพ็อตอาจได้กล้องที่มีแต่ภาษาอังกฤษกับภาษาฮิบรู แสดงว่าต้องหิ้วมาจากที่ไหนสักแห่งในโลกแน่ๆมันจึงพูดไทยไม่เป็น ส่วนของประกันศูนย์นั้นจะต้องมีใบรับประกันที่ออกโดยตัวแทนจำหน่ายในประเทศ ไทย ส่วนใหญ่มีคู่มือภาษาไทย และกล้องเองมีเมนูภาษาไทยด้วย (แต่โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยน่าซีเรียสสำหรับกล้องรุ่นใหม่ๆเพราะมีให้เลือก แทบทุกภาษาไม่ว่าจะกล้องประกันร้านหรือประกันศูนย์) สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ กล้องประกันร้านราคาถูกกว่า แต่เอาเข้าศูนย์บริการในเมืองไทยแล้วถือว่าไม่อยู่ในประกัน คุณต้องเอากล้องตัวนั้นไปเคลมกับร้านที่ซื้อมาเท่านั้น (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีบริการหลังการขายดีแค่ไหน) อยู่ที่การตัดสินใจของคุณว่าจะประหยัดเงินแล้วเสี่ยงดวง หรือ ยอมจ่ายเพิ่มเพื่อความอุ่นใจ แต่สำหรับมือใหม่ขอแนะนำซื้อประกันศูนย์สบายใจกว่าครับ
7. ก่อนซื้อใจเย็นๆแล้วรอดูโปรโมชั่น นอกเสียจากว่าคุณรีบร้อนต้องซื้อวันนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะราคาแต่ละร้านแม้ว่าจะเป็นประกันศูนย์ก็สามารถต่อรองได้นิดหน่อยถ้า จ่ายด้วยเงินสด หรืออาจจะมีโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิตที่ให้ผ่อน 0% ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเงินก้อน และที่น่าสนใจก็คือหากมีการจัดงานมหกรรมลดราคาต่างๆ นอกเหนือจากราคาที่ถูกกว่าปกติ ยังได้ของแถมมากมายแถมมีลุ้นชิงโชคอีกต่างหาก บางคนเคยได้กล้องราคาเท่าประกันร้านแถมได้ของแถมติดไม้ติดมือเยอะแยะ ยังไม่พอผ่อน 0% ได้แล้วเอาแต้มในบัตรเครดิตไปแลกของได้อีก เยอะจริงๆ กำเงินไว้แน่นๆ อย่าให้กิเลสครอบงำจนหน้ามืดไปคว้าของแพงมา เช็คราคาหลายๆร้านไว้ด้วยก่อนตัดสินใจ สำหรับงานมหกรรมลดราคาที่น่าสนใจก็เช่น งาน Powerbuy หรือไม่ก็งาน Photo Fair เป็นต้น
8. ซื้อมาแล้วต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ หากจะเอาจริงเอาจังกับกล้อง DSLR เพราะไม่อย่างนั้นคุณจะใช้กล้อง DSLR ถ่ายรูปไม่สวย โฟกัสไม่เข้า เบลอ วัดแสงผิด ใช้กล้องคอมแพ็กหรือกล้อง DSLR-Like ยังจะถ่ายสวยกว่า นอกจากนี้คุณจะต้องรักการถ่ายรูป ไปเที่ยวก็ถ่ายรูป ออกทริปเข้าสังคมก็เพื่ออยากถ่ายรูป เข้าเว็บ TechXcite มาอ่านบทความนี้ก็เพราะชอบเรื่องกล้องถ่ายรูป แล้วเตรียมใจไว้เลยว่าคุณจะต้องมีอุปกรณ์งอกเงยขึ้นมาแน่นอนถ้าไม่เบื่อไป เสียก่อน ^_^



ที่มา: น้าป๋วย TechXcite
 
สั่งอัดรูปออนไลน์ / Digital Offset Print / Photo Gift / Photo Book
ได้ที่
www.masterphotonetwork.com


ติดตามข่าวสารและกิจกรรมดีๆ จากมาสเตอร์ได้ที่
Facebook : Master Photo Network   
คำคมที่ใช้ในการถ่ายภาพ , Photo Book, ภาพตลก, ภาพ สวยๆ, ภาพข่าว, ภาพถ่าย, ร้านมาสเตอร์,





วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

เทคนิค : การทำความสะอาด ล้าง Sensor (CCD) กล้อง DSLR แบบเสี่ยงตาย ด้วยตัวเอง

เทคนิค : การทำความสะอาด ล้าง Sensor (CCD) กล้อง DSLR แบบเสี่ยงตาย ด้วยตัวเอง



ใช่ครับ อย่างที่เห็นในรูปข้างบน..."ฝุ่น" จำนวน มหาศาลจุด >_< !!! ได้แพร่กระจาย บุกเข้าไปถึง CCD ในกล้องของผมมากมาย...
ผมจึงต้องหาวิธี "กำจัด" มันออกไปซะที เพราะปีสองปีที่่ผ่านมา ต้องทรมานกับการใช้โปรแกรมแต่งภาพ เพื่อลบจุดออกเสมอๆ
ฝุ่นจะปรากฏกายให้เราเห็นได้ง่ายๆ เมื่อเราใช้ค่า f สูงๆ เช่น f22 หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า f แคบๆ นั่นแหล่ะครับ ^^"

ผมก็พยายาม Search ไปเรื่อยเปื่อยใน google นี่แหล่ะครับ เพื่อหาทางแก้ไข @_@" เพราะผมเองก็ไม่เคยและไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
ส่วนมากจะแนะนำให้ส่งเข้าศูนย์ ใช้เวลารอประมาณหนึ่ง กล้องก็จะกลับมาสู่สภาพปกติ ^0^

แต่...ส่วนมากอีกที พอถ่ายไปอีกซักพัก ฝุ่นก็จะเข้าไปใหม่อยู่ดี ... ก็ต้องส่งไปเข้าศูนย์ใหม่ >_< !!!
แล้วคนอย่างผม ที่ไม่ค่อยเช็ด ไม่ค่อยดูแลกล้องเลย เก็บทิ้งไว้ที่พื้นรถ จอดตากแดดมาสองปี ถ่ายรูปวันละเป็นพันๆ ใบ
คงจะได้ส่งเข้าศูนย์ทุกวันเป็นแน่แท้... Y_Y ไหนจะฝุ่นจาก...น้ำตก ภูเขา ทะเล สารพัดสารเพ >_< !!!

สุดท้ายผมก็ไปสะดุดตากับวิธีการหนึ่ง ซึ่ง web ฝรั่งบอกว่า "ราคาถูกแต่...ไม่ควรทำ" ก็คือการเอา "เทปกาวลอกฝุ่นออกจาก Sensor" *0* !!!
คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับ การที่เราถ่ายรูป แล้วมองเห็นฝุ่นตรงช่องที่เราส่อง กับ เห็นฝุ่นที่บนรูปถ่าย การเกิดฝุ่นอาจจะคนละที่กัน
หากเราทำความสะอาดเลนส์เอาผ้าเช็ดๆ และก็เปิดกล้องออกเป่าฝุ่นข้างในแล้วหาย ก็เป็นอัน OK ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าทำทุกทางแล้ว ฝุ่นยังปรากฏอยู่บนรูป แสดงว่า...ถึงเวลาเจรจากับ Sensor (CCD) แล้วล่ะครับ

จริงๆ มันก็มีอุปกรณ์สำหรับจัดการกับฝุ่นที่ติดอยู่หน้า Sensor (CCD) ขายอยู่นะครับ
ชุดละแค่ไม่ถึงพันบาท Y_Y ใช้ได้หลายครั้ง เกือบๆ สิบครั้งมั้งครับ Y_Y น่าจะปลอดภัย และได้ผลดี

ส่วนผมไม่มีตังค์ครับ (เอาไปซื้อเบยกินหมดแระ) >_< !!!
และก็ไหนๆ เห็นว่าน่าสนุกดี ก็เลยขอลองวิธีเอา "เทปกาวลอกฝุ่นออกจาก Sensor" *0* !!! 555+
มาดูอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมครับ... 1. เทปกาว 2. ไม้แคะ หู ... -_- หมดละครับ มีแค่นี้ >_< !!!

web ฝรั่งบอกว่าไม่ควรทำวิธีนี้ เพราะว่าเนื้อกาวจากเทปกาว อาจจะเหนียวติดค้างอยู่แทนฝุ่นครับ
ผมก็เลยแค่ หาๆ เทปกาว ที่...ไม่เหลือคราบกาวติด หลังจากลอกฝุ่นออกแค่นั้นเองครับ
พอดีเวลาผมทำงาน ผ่านๆ มาหลายปี ก็เลยเคยใช้เทปกาวมาแล้วหลายแบบครับ ^_^ แบบ magic tape แจ่มดีครับ

วิธีทดสอบ ก็แค่ไปซื้อๆ มา แล้วเอาไปแปะกระจก แล้วลอกออกครับ ถ้าอันไหนไม่เหลือคราบกาว เราก็ใช้อันนั้น ^^" จบส์!

ปัญหาต่อมาก็คือ ผมไม่รู้จักว่าเจ้า Sensor หรือ CCD และหรืออีกที ตรงจุดที่ผมจะไปยุ่งกับมัน มันคืออัลไล? บอบบางแค่ไหน
น่า กลัวมากไหม หรือแค่สัมผัส ก็ระเบิดตูมมมมมมมมมมมมมม !!! >_< !!! อ่า...ก็เลยต้อง ศึกษามันดูก่อนครับ ผ่านทาง google อีกเช่นเคย

พบว่า เราไม่ได้ไปยุ่งกะ Sensor หรอกครับ เพราะตรงนั้นจะมีอะไรกั้นไว้อีกหลายชั้นก่อนอยู่ดี เขาว่ามันชื่อ Low-pass filter - -"
ซึ่งเอาไว้กรองสัญญาณ ไม่ให้รูปคมมากเกินไปจนดูไม่ได้ จนเส้นๆ เยอะแล้วจะตาลายไม่เป็น ธรรมชาติไรเงี้ยครับ @_@"

ดังนั้น เจ้า Low-pass filter เนี่ย ก็เหมือนกับกระจก เหมือนเลนส์ เหมือนแว่นตา เหมือนหน้าจอโทรศัพท์ทั่วๆ ไป นี่แหล่ะ ^^"
และก็ยากเหมือนกันที่จะทำให้มัน "ใส" "ไร้ร่องรอย" 555+ ส่วนมากจะติดรอยนิ้วมือเราซะก่อนตลอดๆ ครับ

เมื่อรู้ดังนี้แล้ว ก็ทำการปิดบทความนี้ไปซะครับ!!! ^^" 555+ เพราะหากยังฝืนอ่านต่อ ท่านต้องรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นเอง
ผมไม่เกี่ยวน๊าาาาาาาา 555+

แต่หากอยากอ่านต่อและทำตาม ตัวท่านจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. กล้า ... และ...อ่า...หมดแล้วครับ - -" แค่กล้า..."ก็พอ" เพราะผมก็มั่วๆ เอาด้วยความ "กล้า" นี่แหล่ะครับ
เรามาดูกันว่าเจ้าสิ่งที่ฝุ่นไปรวมตัวกันเกาะอยู่นั้น คืออะไร ขอบคุณภาพจาก Internet นะครับ ผมคงไม่สามารถแยกชิ้นส่วนเองได้ขนาดนี้ - -"
เจ้า low-pass filter คือ แผ่นที่สอง จากทางซ้ายมือนะครับ จะเห็นว่า อีกไกลมากกว่าจะไปถึง Sensor ทางขวาสุด -_-


มาเริ่มกันเลยครับ...เปืดกล้อง แล้วเลือกปุ่มนี้ครับ...Menu Canon เพื่อให้กล้องเปิดช่องให้เราสามารถแหย่เทปกาวเข้าไปได้ - -"
ส่วนของยี่ห้ออื่นๆ เช่น Nikon ลองดูในคู่มือนะครับ ^^" พะดีผมไม่มีอ่ะ...
เลือก Clean Manually แปลว่า...ฉันจะทำความสะอาดเองนะจ๊ะ...ครับ ^^"


เจ้าตัวที่ฝุ่นชอบไปเกาะ ก็คือแผ่นสีใสๆ ข้างในสุดนั่นแหล่ะครับ บางทีมันก็ชอบสะท้อนเป็นสีเขียวๆ ^^"
สังเกตว่า...สภาพของกล้องผม...อ่า...เขรอะๆ เกรอะกรังใช้ได้ครับ ใช้ถ่ายอย่างเดียว ไม่เคยทำความสะอาดใดๆ เลย Y_Y
ถ่ายรูปมาเกือบ 1 ล้านใบแล้วครับ ^^" แหะๆ 3 ปีเต็มๆ...


หากเป็นฝุ่นที่เกาะแน่นๆ หลายๆ ปี หรือพวกละอองเกสรดอกไม้เหนียวๆ หรืออะไรก็ตาม เราจะเป่าไม่ออกหรอกครับ...
ไม่เชื่อท่านลองเป่ากระจกดูครับ คงหมดแรงก่อน กว่าฝุ่นจะปลิวหลุดออกจากกระจก ยิ่งพวกเม็ดเล็กๆ ยิ่งไม่ขยับเบยยย 555+ >_<
สังเกตว่าเลนส์ของผมนั้น ยิ่งเขรอะมากๆ สุดๆ แต่ยังถ่ายรูปได้สวยอยู่นะครับ ^_^


ดังนั้น...ผมจึงใช้มาตราการสุดท้าย..."แบบเสี่ยงตาย" ก็คือเอาเทปใส แปะแล้วลอกออก ทำเบาๆ นิ่มนวลๆ เอาไว้ก่อนครับ
ถึง low-pass filter จะไม่ถลอกง่ายๆ แต่การทำอย่างระมัดระวัง จะช่วยให้เราไม่เผลอทำอะไรหล่นลงไปกระแทกแทนครับ 555+

ใช้..."ไม้แคะหู"...ค่อยๆ แตะเทปกาว เพื่อลอกดึงเอาฝุ่นออก ไม่ใช้เอาไว้เช็ดหรือว่าถูนะครับ ใช้แตะๆ ก็พอ 555+

ทำๆ ไปเรื่อยๆ ครับ จะกี่รอบก็แล้วแต่ปริมาณฝุ่น และ...ความติดแน่นของฝุ่น...ผมทำไปหลายรอบเลยครับ
ทำแล้วถ่ายรูปดู ว่าฝุ่นติดตรงไหนบ้าง ก็ฝึกทำๆ ไป อาการฝุ่นก็ค่อยๆ หายไปๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ

เพราะลงทุนไปแค่ 30-40 บาท แต่ใช้ได้ไม่รู้กี่รอบเหมือนกันครับ >_< !!!

ซึ่ง...สำหรับผม...มันสำเร็จนะครับ ^_^ ฝุ่นจากรูปข้างบนหาย "เกือบ" หมดเบยยยยยยยยยยย ^0^ wowwwwww!!!
ทำให้ความมั่นใจในการถ่ายรูปของผมกลับมาอีกครั้ง หลังจากต้องทุกข์ทนมากว่า 2 ปี Y_Y ผมสามารถถ่ายที่ f40 ได้อีกครั้ง
f40, 1/3200s, iso100 หมุน tele ซูมสุดกระบอก ^0^
(1/3200 = 0.0003 วินาที เร็วมากกกกกกกก)


f36 ครับ...ยิ่งกลับมาถ่ายที่ค่า f มากๆ หรือแปลอีกอย่างว่า f แคบๆ ได้โดยไม่มีฝุ่น ยิ่งโคม่า บ้าถ่ายรูปกว่าเดิมอีกครับ Y_Y
f แคบๆ จะทำให้แสงอาทิตย์ที่ลอดเมฆออกมา กลายเป็นแฉกๆ เลยครับ ^_^


รูปนี้ที่ f29, 1.3s, iso100 ครับ ^^ มีความสุขจริงๆ ครับ กลับมาถ่ายไฟแฉกๆ ได้อีกครั้ง โดยที่ไม่ต้องมานั่งลบฝุ่นเป็นร้อยๆ จุด
ตอนนี้เหลือจุดซ้ายบนเล็กๆ อีกจุดนึง ทางขวาบนอีกจุดหนึ่ง...เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมทำความสะอาดได้ใหม่อีกครับ เทปกาวเหลือเพียบๆ 555+


สรุปนะครับ หากท่าน "กล้า" พอ ก็ตัดสินใจเอาเองครับ ผมไม่เกี่ยวนะ แต่ผมทำแล้วมันโอเค ^^
และต้องคิดด้วยว่า ท่านใช้กล้องและ...ถ่ายรูปเอาไปทำอะไร? เอารููปไปใช้แบบไหน?

เพราะเคยมี web ฝรั่งบอกว่าเทปกาวเนี่ยทำบ่อยๆ จะทำให้สีเพี้ยนๆ ไปประมาณ 6.5 micron ทาง red spectrum @_@"ห
ก็...ประมาณ 0.0065 mm ซึ่งสำหรับผม...อ่า...มันไม่ใช่ตัวเลขที่ทำให้โลกของผมต้องหยุดหมุนอะไรเท่าไหร่...^^"
ถ้าซัก 1 mm น่าจะพอมองเห็น 555+ (แต่คำกล่าวดังว่า ผมหาผล lab รับรองไม่เจอแฮะครัฟ) @_@"

และสำหรับท่านใดที่กังวลเรื่องสีเพี้ยน 0.0065 mm ไปทาง red redspectrum ก็ไม่ควรทำนะครับ เช่นกล้องตัวละแสนกว่าบาทไรเงี้ย 555+
Bye byeee ไปดีกว่าครับ ตัวใครตัวมัน กล้องใครกล้องมันนะฮาฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ^0^
และ...ปล. ห้ามเอาไปเถียงกันแล้วก่อมาม่านะครับ บอกแล้วว่า...ตัวใครตัวมัน กล้องใครกล้องมันนะคร๊าฟฟฟฟฟฟ 555+








ที่มา: oknation.net
 
สั่งอัดรูปออนไลน์ / Digital Offset Print / Photo Gift / Photo Book
ได้ที่
www.masterphotonetwork.com


ติดตามข่าวสารและกิจกรรมดีๆ จากมาสเตอร์ได้ที่
Facebook : Master Photo Network   
คำคมที่ใช้ในการถ่ายภาพ , Photo Book, ภาพตลก, ภาพ สวยๆ, ภาพข่าว, ภาพถ่าย, ร้านมาสเตอร์,



วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

ถ่ายภาพสนุกๆ ในยามค่ำคืน ยังไงให้สวย!!

ถ่ายภาพสนุกๆ ในยามค่ำคืน ยังไงให้สวย!!

ถ่ายภาพสนุกๆ ในยามค่ำคืน ยังไงให้สวย!!
ระบายภาพด้วยแสง
ในการถ่ายภาพยามค่ำคืน คุณสามารถใช้แหล่งแสงประเภทต่างๆ เพื่อเพิ่มความสว่างให้กับตัวแบบได้ด้วยเอฟเฟ็คท์ที่ดูแปลกตา การระบายด้วยแสงจะต้องใช้ค่าการเปิดรับแสงที่ยาวนานจาก ไฟฉายหรือแฟลชเพื่อเปิดแสงให้กับตัวแบบ
เช่นเดียวกันกับการถ่ายภาพกลางคืนทั่วไป คุณจำเป็นต้องตั้งกล้องไว้บนขาตั้งกล้องที่มีความมั่นคงและใช้สายลั่น ชัตเตอร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเบลออันเนื่องมาจากกล้องสั่น การถ่ายภาพในความืดยังทำให้คุณจัดองค์ประกอบภาพและโฟกัสได้ยาก ดังนั้นให้คุณใช้โหมด Live View และตั้งค่า ISO ให้สูง
โฟกัสแบบแมนวล
สำหรับการโฟกัสภาพแบบแมนวลในความมืดนั้น คุณจะพบว่าการทำงานนั้นง่ายขึ้นมากถ้าคุณส่องไฟฉายไปยังจุดที่คุณจะโฟกัส (หรือใกล้ๆ กัน) วิธีนี้สามารถเพิ่มความสว่างมากพอที่จะคุณโฟกัสภาพด้วยการดูภาพขยายจากโหมด Live View ได้
เมื่อคุณตั้งค่าต่างๆ เรียบร้อยแล้ว คุณก็สามารถเปิดแสงให้ตัวแบบด้วยไฟฉาย (หรือแฟลช) ในส่วนต่างๆ ของภาพได้ เวลาที่คุณใช้ไฟฉาย คุณจำเป็นต้องขยับแสงไฟอยู่ตลอดเวลาเพื่อทำให้แสงบนตัวแบบมีความสม่ำเสมอ ภาพที่คุณได้จะไม่มีทางซ้ำกันได้เลย

STEP BY STEP การตั้งค่ากล้องสำหรับการระบายแสง
วิธีการถ่ายภาพยามค่ำคืนและการเพิ่มแสงสำหรับเทคนิคการถ่ายภาพยามที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนาน
DCM143.feature.s5_08_step1
1 จัดองค์ประกอบภาพ
การจัดองค์ประกอบภาพในความมืดทำได้ค่อน ข้างยาก ดังนั้นให้เปิดโหมด Live View เพื่อดูภาพจากจอแทน ตั้งกล้องบนขาตั้งกล้องแล้วจัดองค์ประกอบภาพจากจอภาพ คุณจะพบว่าการดูภาพจาก Live View จะง่ายขึ้นถ้าคุณตั้งค่า ISO ไว้ที่ค่าสูงๆ อย่าง 6400 หรือสูงกว่านี้

DCM143.feature.s5_08_step2
2 ตั้งค่ากล้อง
ตั้งค่ากล้องไว้ที่โหมดโฟกัสแบบแมนวลและ ค่อยๆ โฟกัสตัวแบบที่คุณจะฉายแสงด้วยไฟของคุณ อย่าลืมเปลี่ยนค่า ISO กลับลงมาให้เป็น ISO 200 จากนั้นให้คุณตั้งค่าความไวชัตเตอร์ไว้ที่ค่า B (Bulb) และค่าช่องรับแสงที่ f/11 ในโหมดค่าการเปิดรับแสงแมนวล

DCM143.feature.s5_08_step3
3 เปิดแสงให้ตัวแบบ
ให้คุณใช้สายลั่นชัตเตอร์เพื่อล็อก ชัตเตอร์ให้เปิดค้างไว้แล้วระบายแสงลง บนตัวแบบ การให้แสงนั้นก็เหมือนกับการถ่ายภาพทั่วไป แสงจากด้านข้างจะเผยให้เห็นรายละเอียดมากกว่าแสงที่ส่องออกไปจากกล้อง ระวังอย่าฉายส่องไฟฉายเข้ามาที่เลนส์

DCM119.feature.sprd5_light_trails d9892cac30b646f88d77b31e8f7785
ถ่ายภาพเส้นแสงยามค่ำคืนที่ดึงดูดสายตา
แทนที่จะเพิ่มแสงของคุณให้กับภาพยามค่ำ คืน คุณเองก็ยังสามารถใช้ตัวแบบที่เคลื่อนไหวอย่างเช่นการจราจรเพื่อสร้างสรรค์ เส้นแสงได้ กล้องของคุณจำเป็นต้องอยู่นิ่งเพื่อเปิดรับแสงยาวนาน ดังนั้นให้คุณตั้งกล้องไว้บนขาตั้งกล้องที่มั่นคง
จากนั้นคุณจำเป็นต้องตั้งกล้องไว้ที่โหมด การเปิดรับแสงแบบแมนวลแล้วใช้ แป้นควบคุมหลักปรับค่าความไวชัตเตอร์จนกระทั่งคำว่า “Bulb” ปรากฏขึ้นที่หน้าจอแสดงผล ต่อมาให้ตั้งค่าช่องรับแสงไว้ที่ f/11 และ ISO 200 อย่างไรก็ตามคุณสามารถเปลี่ยนมาใช้ช่องรับแสงที่กว้างขึ้นได้หากสภาพ แสงบริเวณนั้นมีน้อยหรือจะใช้ช่องรับแสงที่หรี่แคบลงในกรณีที่สว่างเกินไป
ค่าการเปิดรับแสง
อันดับต่อมาให้ใช้สายลั่นชัตเตอร์ล็อก ชัตเตอร์ในช่วงเปิดรับแสงแล้วจับ เวลาด้วยนาฬิกาหรือแม้แต่คำสั่งจับเวลาในโทรศัพท์มือถือเพื่อค่าการเปิดรับ แสงที่แม่นยำ
ค่าการเปิดรับแสงที่คุณจำเป็นต้องใช้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณแสงจากไฟฟ้า บริเวณท้องถนนหรือแหล่งแสงอื่นๆ ภายในภาพ ในเมืองที่สว่างไสว คุณอาจเริ่มต้นค่าการเปิดรับแสงที่ราวๆ 30 วินาที ขณะที่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างมืดนั้น คุณคงต้องใช้ค่าการเปิดรับแสงที่ยาวนานขึ้นอย่าง 60 วินาทีหรือนานกว่านั้น
“ค่าการเปิดรับแสงนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณแสงที่มีในสภาพแวดล้อมนั้น”

DCM143.feature.s5_10_example
เพิ่มเอฟเฟ็คท์ประกายดาวให้กับภาพกลางคืน
การระบายด้วยแสงและการบันทึกเส้นแสงด้วย ค่าการเปิดรับแสงที่ยาวนานนั้น เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับการเพิ่มความน่าตื่นตาให้กับภาพถ่ายกลางคืนของคุณ แต่สำหรับภาพถ่ายที่ดูโรแมนติกและสวยงามนั้น คงไม่มีอะไรจะสู้ภาพเมืองหรือหมู่บ้านที่เปี่ยมไปด้วยประกายแสงที่บอบบางได้ คุณสามารถใช้ปลั๊กอินของโปรแกรม Photoshop เพื่อเพิ่มเอฟเฟ็คท์นี้ หรือไม่เช่นนั้นคุณก็สามารถสร้างสรรค์เอฟเฟ็คท์นี้ได้ตั้งแต่ในขั้นตอนการ ถ่ายภาพเลย
คุณจำเป็นต้องใช้ตัวแบบที่มีแหล่งแสง เล็กๆ จำนวนมากอย่างเช่นไฟจากท้องถนน จากนั้นให้คุณบันทึกภาพประกายดาวเหล่านี้ด้วยช่องรับแสงขนาดเล็กอย่างเช่น f/16 หรือ f/22 การถ่ายภาพด้วยช่องรับแสงลักษณะนี้ทำให้คุณต้องใช้ค่าความไวชัตเตอร์ที่กิน เวลานานมากๆ โดยไม่ปรับใช้ค่า ISO สูง รูปทรงและลักษณะประกายดาวนั้นจะแตกต่างกันไปในเลนส์แต่ละตัว เพราะลักษณะภาพที่ได้นั้นจะขึ้นอยู่กับรูปทรงและการออกแบบกลีบช่องรับแสงภาย ในกระบอกเลนส์แต่ละรุ่น
สนับสนุนเนื้อหา: www.digitalcamera-thailand.com



ที่มา: hitech.sanook.com
 
สั่งอัดรูปออนไลน์ / Digital Offset Print / Photo Gift / Photo Book
ได้ที่
www.masterphotonetwork.com


ติดตามข่าวสารและกิจกรรมดีๆ จากมาสเตอร์ได้ที่
Facebook : Master Photo Network   
คำคมที่ใช้ในการถ่ายภาพ , Photo Book, ภาพตลก, ภาพ สวยๆ, ภาพข่าว, ภาพถ่าย, ร้านมาสเตอร์,





Alex MacLean ช่างภาพทางอากาศมือหนึ่งของอเมริกา

Alex MacLean ช่างภาพทางอากาศมือหนึ่งของอเมริกา

ช่างภาพทางอากาศมือหนึ่งของอเมริกา
Alex MacLean ช่างถ่ายภาพทางอากาศมือหนึ่งของอเมริกา พูดคุยกับGeoff Harris เกี่ยวกับอาชีพรุ่งเรืองที่อยู่บนอากาศตลอดเวลา
DCM138.interview.alex_maclean
Alex MacLean เริ่มการเป็นช่างถ่ายภาพทางอากาศตั้งแต่ปี 1970 ภาพถ่ายของเขาได้รับการจัดแสดงอย่างกว้างขวาง เขาได้รับรางวัลมากมายรวมถึง รางวัลงานหนังสือนานาชาติโครีนปี 2009 รางวัลกรุงโรมสำหรับภูมิสถาปัตย์ Alex ได้เขียนหนังสือ 11 เล่ม รวมถึง Over: The American Landscape at the Tipping Point และ Up on the Roof: New York’s Hidden Skyline Space
Alex MacLean เป็นปรมาจารย์มือหนึ่งด้านการถ่ายภาพทางอากาศของสหรัฐอเมริกา ในชีวิตการทำงานมากว่า 40 ปี เขาเคยบินเหนืออเมริกามาทั่วแล้วเพื่อเก็บภาพภูมิทัศน์ซึ่งมีทั้งไร้กาลเวลา และเปลี่ยนแปลงอยู่เนืองนิจ ด้วยภูมิหลังการฝึกฝนเป็นสถาปนิก เขาได้ถ่ายทอดประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของผืนแผ่นดินจากดินแดนเกษตรกรรม อันกว้างใหญ่ไปจนถึงรูปแบบตารางของเมือง โดยบันทึกภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากฝีมือมนุษย์และกระบวนการทางธรรมชาติ
“ผมสนใจการถ่ายภาพตั้งแต่เด็ก แต่มาเริ่มสนใจอย่างจริงจังเมื่อตอนเรียนสถาปัตย์” Alex กล่าว “ผมได้ยินอาจารย์คนหนึ่งพูดถึงภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งดึงดูดความสนใจผมมากโดยเฉพาะเมื่อผมมีเพื่อนสนิทที่ลุงของเขาเป็นเจ้า ของโรงเรียนฝึกบินที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา”
“ผมได้ไปทำงานในฐานะผู้ดูแลค่ายที่โรงเรียนฝึกบินแห่งนี้ซึ่งทำให้ผม สามารถฝึกบินได้เมื่อมีเวลาว่าง ผมได้ใบอนุญาตนักบินมาในเวลาไม่นานนัก”
หลังจากการเรียนต่อ Alex ได้งานที่บริษัทภูมิสถาปัตย์แห่งหนึ่ง แต่ธุรกิจไปได้ไม่ดีนักเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ “ผมเลยตัดสินใจไข่วคว้าสิ่งที่ผมชอบสามอย่าง คือ การขับเครื่องบิน การถ่ายภาพ และภูมิทัศน์ โดยการพยายามหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นช่างถ่ายภาพทางอากาศ ตอนแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีงานนัก และผมต้องเป็นพนักงานเสิร์ฟเพื่อหาเงินเพิ่ม แต่ในที่สุดก็เริ่มมีงานถ่ายภาพทางอากาศเข้ามาจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ต่างๆ
“ผมซื่อไปในตอนแรก ผมไม่รู้ว่าผมสามารถบอกราคาที่แตกต่างกันได้ระหว่างลูกค้าหลายรายสำหรับภาพ เดียวกัน และไม่มีความรู้เอาเสียเลยเกี่ยวกับลิขสิทธิ์กับการใช้งานและอื่นๆ แต่ผมก็ได้เรียนรู้ในเวลาต่อมา”

หัวข้องานและรูปแบบ  
Alex ยังได้ขายภาพทางอากาศให้แก่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการถ่ายภาพของเขามาก “มันทำให้ผมนึกถึงหัวข้อและรูปแบบของภูมิทัศน์หลากหลายแนว เช่น สวนสาธารณะในเมืองและถนนหนทาง ไปจนถึงพื้นที่เกษตรกรรมแบบต่างๆ ผมเริ่มมองเห็นภาพพื้นที่ต่างๆ ที่จะรวบรวมไว้และสร้างเป็นผลงานขึ้นมาได้”
งานใหญ่เข้ามาเมื่อสถาบันเงินทุนเพื่อศิลปะแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้ ว่าจ้าง Alex ดำเนินโครงการใหญ่เกี่ยวกับเมืองขนาดเล็ก “ในที่สุดผมก็สามารถซื้อเครื่องบินเป็นของตนเองได้ ซึ่งทำให้การถ่ายภาพของผมเปลี่ยนไป” Alex ย้อนความหลัง
เมื่อ Alex เริ่มก้าวเข้าสู่วงการช่างถ่ายภาพทางอากาศในช่วงปี 1970 นั้น มีบริษัทคู่แข่งเพียงไม่กี่ราย “มันให้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังสำรวจโลกใหม่” เขาจำได้ว่า “ดังนั้นผมจึงสามารถสร้างสไตล์ของผมเองได้ ในตอนแรกผมเน้นการถ่ายทอดความสวยงามของภูมิทัศน์ แต่ต่อมาผมเริ่มให้ความสำคัญต่อการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมา จากมลพิษและการขยายเมืองและอื่นๆ ในโครงการใหญ่ๆ ที่ผมถ่ายภาพทั้งภูมิภาค ผมพบว่าผมชอบที่จะเริ่มงานโดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับสถานที่นั้น และได้สำรวจมันด้วยตาของผมเอง แน่นอนผมจะอ่านข้อมูลและศึกษาสัญลักษณ์ของพื้นที่ที่ผมจะถ่ายภาพก่อนทำงาน แต่ผมไม่ชอบที่จะกะเกณฑ์สิ่งต่างๆ ล่วงหน้า การได้เข้าไปยังสถานที่ที่ผมไม่เคยถ่ายภาพมาก่อนมันน่าตื่นเต้นมากๆ”
 มากกว่าความงาม
แน่นอนอยู่แล้วว่าการขับเครื่องบินขณะถ่ายภาพกลางอากาศไปด้วยเป็นทักษะ ที่ต้องอาศัยเวลาในการสร้างความชำนาญ “คุณต้องแม่นในเรื่องตำแหน่งและการคาดหมายสิ่งที่จะเกิดขึ้น” Alex อธิบายแบบฟังดูเป็นเรื่องง่ายตามลักษณะนิสัยถ่อมตัวของเขา “มีหลายสิ่งที่คุณต้องคิด อย่างแรกคือการคำนึงถึงเรื่องแสง เมื่อคุณบินวนรอบสิ่งที่คุณจะถ่าย แสงจะเปลี่ยนไปและคุณจะต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ เทคนิคการถ่ายย้อนแสงก็เยี่ยมสำหรับการให้แสงแก่ทุ่งหญ้าในขณะที่ผืนน้ำจะ มืดสนิท หรือสะท้อนแสงเป็นกระจกเงา เป็นต้น จากนั้น คุณก็ต้องคิดถึงขนาดภาพถ่ายที่ความสูง 500 ฟุต จะต่างจากภาพถ่ายที่ระดับ 2000 ถึง 3000 ฟุต”
Alex ต่างจาก Jason Hawkes นักถ่ายภาพทางอากาศมือหนึ่งของอังกฤษที่เราเคยได้สัมภาษณ์ไปแล้ว จากการที่เขาชอบถ่ายภาพในเวลากลางวันมากกว่ากลางคืน “กลางวันให้โอกาสต่างๆ มากกว่า แน่นอนว่ากลางคืนน่าสนุกและตื่นเต้นกว่า และ ISO ความไวแสงสูงในกล้องดิจิตอลจะทำให้การถ่ายภาพง่ายขึ้น แต่ผมยังมองว่ามันมีข้อจำกัดอยู่ กลางคืนเป็นเหมือนเครื่องกรองที่ชี้นำให้ผู้ชมได้รับสารอีกแบบ มันจำกัดความคิดในแบบนี้ แต่ก็เหมาะสำหรับการถ่ายภาพเมือง ถนน และโครงข่ายถนนต่างๆ”
เมื่อพูดถึงการจัดองค์ประกอบภาพที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก Alex มีแนวคิดที่น่าสนใจ “ผมมักจะใคร่ครวญถึงรูปลักษณะของสิ่งของและสี แล้วผมก็ยังคิดถึงภาพทิวทัศน์ในลักษณะ 4 มิติ โดยมิติที่สี่คือเวลา ภูมิทัศน์จะเปลี่ยนแปลงตลอดถ้าคุณคำนึงถึงกาลเวลา และคุณถ่ายทอดเวลาผ่านทางการเคลื่อนไหวหรือความเปลี่ยนแปลง การขยับเคลื่อนของอะไรบางอย่าง เช่น ก้อนเมฆ หรือรถมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านทะเลทราย”
 การจัดแสงและวางกรอบภาพ  
“ผมต้องการเก็บรูปทรงเรขาคณิตที่มีความเกี่ยวโยงกับสิ่งอื่นไว้ในภาพ พูดง่ายๆ คือ ผมชอบให้มีสิ่งที่แตกต่างกันในรูป โดยลองใช้เหลี่ยมมุม เขตแดน การวางทับซ้อน และอื่นๆ เพื่อเน้นความแตกต่างทางสายตา การวางตำแหน่งของสิ่งต่างๆ ในกรอบที่คุณจะถ่ายมีความสำคัญมากทีเดียว”
กล้องดิจิตอลช่วยช่างภาพทางอากาศอย่าง Alex ได้มาก เขาอธิบายว่า “ผมมีปัญหาในการเปลี่ยนมาใช้กล้องดิจิตอลในช่วงปี 2003 ถึง 2004 และได้พยายามที่จะใช้ทั้งกล้องดิจิตอลและกล้องที่ใช้ฟิล์ม แต่มันไม่ได้ผล แล้วก็มีใครสักคนที่บอกผมว่ามันก็เหมือนการวาดภาพสีน้ำกับการวาดภาพสีน้ำมัน ที่คุณจะต้องใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป ตอนนี้ผมใช้แต่กล้องดิจิตอลเท่านั้นเพราะภาพที่ออกมามีความละเอียดมากกว่า”
“ข้อมูลของภาพถ่าย (Metadata) ก็มีประโยชน์มากด้วย คุณได้ข่าวสาร และผลตอบรับมากมาย การมีข้อมูลของภาพจะช่วยบอกได้ว่าแบบไหนใช้ได้หรือไม่ได้ และกับกล้องดิจิตอลคุณไม่ต้องคอยเรียงฟิล์มตามลำดับซึ่งเป็นเหมือนฝันร้ายบน อากาศเลยล่ะ”
ใช้โหมดปรับตั้งความเร็วชัตเตอร์เอง
Alex ถ่ายภาพโดยไม่ใช้อุปกรณ์อื่นช่วยเพื่อให้ได้ความละเอียดของภาพและแสงมากที่ สุดโดยใช้การปรับแต่งภาพเข้าช่วย แต่เขาถ่ายโดยใช้โหมดปรับตั้งความเร็วชัตเตอร์เอง (Shutter Priority mode) มากกว่าโหมดแมนวลหรือโหมดปรับตั้งช่องรับแสงเอง (Aperture Priority mode) “ผมชอบถ่ายที่ความเร็ว 1/200 วินาที ISO อัตโนมัติ” เขากล่าว “ภูมิทัศน์ก็เหมือนฉากสีเทาซึ่งค่อนข้างแน่นอนและคุณไม่ต้องปรับแต่งกล้อง มากนัก นอกจากบางกรณี เช่น เมื่อคุณจะถ่ายภาพหิมะ คุณต้องเปิดหน้ากล้องกว้างเพื่อให้ภาพหิมะออกมาเป็นสีขาว ภาพของผมส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 95 ถ่ายได้ออกมาตรงตามต้องการเมื่อถ่ายด้วยโหมดปรับตั้งความเร็วชัตเตอร์เอง ผมจึงไม่ต้องปรับแต่งด้วยโปรแกรมอย่างโฟโต้ช็อปอะไรมากหลังจากถ่ายภาพแล้ว”
แล้วเป้าหมายในอนาคตของช่างถ่ายภาพทางอากาศมือฉมังคนนี้คืออะไร? ดูเหมือนเขาจะได้เห็น ได้ทำมาหมดแล้วสำหรับการถ่ายภาพทางอากาศ “สิ่งที่ผมหวังมากที่สุดคือการมีเวลามากกว่านี้! ตอนนี้ผมอายุ 66 แล้ว แต่ว่าช่างถ่ายภาพทางอากาศบางคนทำงานจนถึงอายุเจ็ดสิบเลยนะ ใครจะรู้ว่าในอนาคตการถ่ายภาพของผมจะเป็นอย่างไร”
“ผมอยากทิ้งผลงานที่บอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาของผมไว้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้ถ่ายภาพทางอากาศเหนือเยอรมนี และรู้สึกประทับใจความเจริญรุ่งเรืองพร้อมกับความยั่งยืนของพื้นที่ พวกเขาดูเหมือนจะมีสมดุลย์ที่ดี และผมอยากจะศึกษาเรื่องนี้ให้มากขึ้น”
ชมภาพเพิ่มเติมได้ที่ www.alexmaclean.com
DCM138.interview.alex_maclean_0136
Santa Rosa Island, Florida
Santa Rosa ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเฮอริเคนในปี 2004 และ 2005 น้ำทะเลที่สูงขึ้นกัดเซาะชายฝั่ง แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ยังดึงดูดนักลงทุนมาปลูกสร้าง
DCM138.interview.alex_maclean_4060
Conrad, Montana, 1991
ทุ่งข้าวสาลีเอนลู่ทำมุมฉากตามแรงลม
DCM138.interview.alex_maclean_4384
 North Central, Ohio, 1996
แนวมะเขือเทศเขียวที่ถูกทิ้งอยู่บนลานใกล้โรงงานบรรจุกระป๋อง

DCM138.interview.alex_maclean_0621_07_2
 Tuscon, Arizona, 1994
สุสาน B-52 สำหรับเครื่องบินรบที่หยุดบินจากสนธิสัญญาอาวุธสงครามกับอดีตสหภาพโซเวียต
DCM138.interview.alex_maclean_5130
Southern New Hampshire, 1982
ภาพรถเก่าดูสวยดีแต่การปล่อยให้ผุพังริมฝั่งแม่น้ำเป็นเรื่องที่น่ากังวล
DCM138.interview.alex_maclean_2549_29
Cincinnati, Ohio, 1987
Alex ถ่ายภาพย่านเสื่อมโทรมในเมืองระหว่างบินไปชานเมือง
DCM138.interview.canon5dmarkIII
ในกระเป๋าของเขา
กล้อง SLR ตัวโปรดของผมคือ Canon EOS 50 Mark III ซึ่งดูจะไว้ใจได้มากกว่าตัว Mark II ในเรื่องของเลนส์ ผมชอบเลนส์ของ Canon ขนาด 70-200 มม. f/2.8 L Series และขนาด 24-105 มม. กับขนาด 135 มม. ผมเคยมีปัญหากับการใช้เลนส์ซูมและการตัดแต่งภาพ แต่ตอนนี้ผมชินแล้ว เครื่องบินโปรดของผมคือ เครื่องเซสนาปีกสูง ระยะบิน 150-182 และเครื่องบินเล็กเบา
เบื้องหลังภาพถ่าย
“ตอนผมถ่ายภาพนี้ผมเพิ่งจะเปลี่ยนจาก Nikon มาใช้ Canon และตอนนี้ผมอาจจะเปลี่ยนกลับอีกครั้ง!”
องค์ประกอบภาพ   
ภาพนี้ถ่ายในปี 1990 เป็นภาพสาหร่ายที่ขึ้นอยู่ระหว่างขอนไม้ในแม่น้ำโคลัมเบีย ผมบินผ่านมันและถ่ายรูปไว้จำนวนหนึ่งแต่รูปนี้เป็นรูปที่ดีที่สุดเพราะ น้ำหนักของภาพที่ทุกสิ่งวางอยู่เกือบจะตรงกึ่งกลาง ความสมดุลย์ของภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับภาพถ่ายทางอากาศ
ค่าเปิดรับแสง
“ผมถ่ายโดยใช้โหมดปรับตั้งความเร็วชัตเตอร์เองตามที่ผมถนัด ความเร็วของชัตเตอร์ที่ 1/1000 วินาที ตามปกติผืนดินจะทำหน้าที่เหมือนฉากเทาอยู่แล้วแต่รูปนี้ผมต้องวัดค่าต่างๆ อย่างระมัดระวังเพราะความมืดของน้ำ
อุปกรณ์  
ถ่ายด้วยกล้อง Canon แบบใช้ฟิล์ม EOS 35 มม. กล้อง SLR ที่มีโฟกัสอัตโนมัติเป็นอะไรที่ต้องอาศัยความคุ้นเคยแต่มันทำให้งานของผม ง่ายขึ้นเยอะเลยผมถ่ายภาพนี้ด้วยฟิล์ม Kodachrome 64 (Kodachrome 64) เพราะชอบความละเอียดของเนื้อภาพ และผมตั้ง ISO ไว้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อควบคุมจุดเด่นของภาพ
 “ผมคำนึงถึงรูปทรงต่างๆ มาก แล้วผมก็ยังคิดถึงภาพทิวทัศน์ในลักษณะ 4 มิติ โดยมิติที่สี่คือเวลา”

ที่มา: hitech.sanook.com

 
สั่งอัดรูปออนไลน์ / Digital Offset Print / Photo Gift / Photo Book
ได้ที่
www.masterphotonetwork.com


ติดตามข่าวสารและกิจกรรมดีๆ จากมาสเตอร์ได้ที่
Facebook : Master Photo Network   
คำคมที่ใช้ในการถ่ายภาพ , Photo Book, ภาพตลก, ภาพ สวยๆ, ภาพข่าว, ภาพถ่าย, ร้านมาสเตอร์,

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

เทคนิคการถ่ายภาพ : มือใหม่ถ่าย Macro ให้ดู..."สวย"


หลายๆ ท่านที่เริ่มฝึกถ่ายรูปใหม่ๆ คงจะเคยได้ยินและได้อ่าน...
คำว่า...มาโคร!?
มันคืออะไร...!? เป็นอะไรกับแมคโครโลตัสไหม? หรือยังไงแน่ >"<

...จริงๆ แล้วมันคือประเภทของรูปถ่ายอีกแบบหนึ่งเท่านั้นเองครับ
...รูปชนิดที่เรียกว่า "มาโคร" ก็คือรูปที่เราถ่ายใกล้ๆ นั่นเอง... ^^

ถามว่า...ใกล้แค่ไหน? ใกล้มากไหม๊? ใกล้เพื่ออะไร >"<
อ่า...ก็ลองนึกภาพเล่นๆ ดูสิครับ...ว่า...ใกล้ชนิดที่ตาคนเราไม่เคยเห็น
ใกล้จนทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ...
ทำให้เกิดโลกใบใหม่มาปรากฏอยู่บนรูปถ่ายกันเลยทีเดียวครับ...



เราลองมาคิดกันเล่นๆ ว่า จะถ่ายยังไงให้มัน...สวย!?

รูปถ่ายทั่วๆ ไปที่ดูสวย...มีองค์ประกอบดังนี้ครับ (เริ่มเป็นจริงเป็นจัง 555+)

1. มีเรื่องราวในรูป เช่น ถ่ายตัวอะไร ทำอะไรอยู่ ถ่ายทำไม บอกอะไรเราบ้าง?
2. ตำแหน่งการวางภาพ น้ำหนักภาพเป็นยังไง สบายตาไหม น่าสนใจไหม?
3. ความชัด...โฟกัส ชัดตรงไหน ไม่ชัดตรงไหน?
4. แสง...สว่างไปไหม มืดไปไหม??? มองเห็นสิ่งที่จะถ่ายไหม?
5. สี...สดใสไหม หรือทึมๆ หรือจืดๆ หรือยังไง!?

หมดละครับ ^^" แค่นี้ก็ทำให้รูปสวยได้ละ...

คราวนี้มาว่ากันต่อเรื่อง รูปถ่าย "มาโคร" ที่ดูสวย...ทำไงถึงจะสวย!?
เราก็เอาหลักการด้านบนมาประยุกต์ใช้แค่นั้นเองครับ...

1. ถ่ายแมลง ก็ให้มีเรื่องราว พยายามหามุมที่เท่ห์ๆ ปีกสวยๆ กิจกรรมที่แมลงทำ
เพราะแมลงและแมงบางส่วนชอบอยู่นิ่งๆ เหมือนหุ่น >"<
ส่วนที่เหลืออีกบางส่วนก็ชอบบินฉวัดเฉวียนด้วยความเร็วสูง >"<

2. วางภาพตามหลักจุดตัดเก้าช่องก็จะดีครับ รูปจะดึงดูดสายตามากๆ
น้ำหนักภาพจะดี ดูน่าสนใจ อารมณ์คนดูเบิกบาน 555+

3. เน้นความชัดหรือจุดโฟกัสให้แม่น เพราะการถ่ายระยะใกล้จะโฟกัสยากมากๆ
บางทีหัวแมลงชัด แต่ปีกแมลงไม่ชัด แต่...ก็แล้วแต่เราอยากโชว์ส่วนไหนด้วย
และที่สำคัญ ฉากหลังรกๆ เราก็ละลายมันซะครับ ^^

4.แสง ก็เอาพอประมาณครับ ปรับแสงให้พอดีๆ หน่อย
ถ่ายที่สว่างมากๆ จะถ่ายง่าย คมชัดง่าย แต่บางทีก็สว่างจนขาวไปหมด
ถ่ายที่มืดมากๆ ก็จะเบลอสนิท ต้องเปิดแฟลชช่วย 
ได้รูปฉากหลังดำ เท่ห์ไปอีกแบบ สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก มักโดนร่มไม้บังเสมอครับ ^^

5.สี...ผมเชื่อว่าสีที่สดใส เหมาะกับรูปมาโครมากกว่าครับ ^^ พยายามหาสีที่...
เน้นให้เจ้าแมลงตัวเล็กของเราเด่นขึ้นมาให้ได้ ยิ่งได้ฉากหลังที่ตัดกับสีแบบ
ยิ่งทำให้ดูเหมือนถ่ายรูปเก่งมากๆ ครับ ฟลุ๊คบ้างจะเป็นไรไป 555+



อุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายมาโคร..."สำหรับ...มือใหม่" มีดังนี้ครับ

1.กล้องถ่ายรูปและตัวคุณ ใส่เสื้อแขนยาวไว้ก็ดีครับ
ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ตัวดำปี๋ ก็ยุงกัดแขนลาย >"<

2.ขาตั้งกล้อง (กรณีแสงไม่พอ ภาพจะเบลอ เพราะสปีดชัตเตอร์ต่ำๆ)
แต่ต้องเป็นแบบปรับให้ต่ำๆ ได้นะครับ ไม่งั้นสูงไปจะเห็นแต่หลังของแมลง Y_Y

3.หัวใจและมุมมองที่พร้อมจะเปิดโลกใบใหม่ ^^
มุมมองที่แสนจะน่าตื่นตา+ตื่นใจรอคุณอยู่ ^^

4.เลนส์มาโคร!? อันนี้...ผมว่ามือใหม่ไม่ต้องก็ได้
ผมก็หัดถ่ายเอาจากเลนส์เทเลเนี่ยแหล่ะครับ >"<
ฝึกฝนมุมมองและนิสัยใจคอของแมลงไปก่อนก็ได้...
เอาไว้เก่งๆ แล้ว + มีตังค์ ผมก็ว่าจะไปซื้อมาซักอันเหมือนกัน ^^"
แต่ตอนนี้ขอลองฝึกหัดดูก่อนว่ามาโคร...ถ่ายยังไง...ให้สวย...

5.นางแบบและนายแบบ ...แมลงมดปลวก หนอน ดอกไม้ แมงมุม ฯลฯ



แล้ว...เราจะถ่ายอะไร ที่ไหนดี!?
ขอย้ำว่า...ไม่ถ่ายตึกรามบ้านช่องแน่ๆ ครับสำหรับมาโคร...Y_Y
ต้องเป็นอะไรๆ ที่ "เล็กๆ" ที่ไม่เรียกว่ารักอีกนั่นแหล่ะ ^^"
สถานที่สำหรับถ่ายรูปทั้งหมดในบทความนี้...คือ...
ที่พงหญ้าข้างทางครับ
Y_Y

แมลงปอ คือ บนเรียนเริ่มต้นที่ดีมากครับ เพราะ...มันไม่กลัวคน
เพราะ...มันมักจะบินมาเกาะที่เดิมๆ เสมอ
เพราะ...มันนิ่งเป็นหุ่น...เสมอๆ

เอาไว้ฝึกการปรับความชัด ละลายฉากหลัง เล่นแสงสีได้เป็นอย่างดีครับ ^^
จะเห็นว่า แค่ถ่ายให้มันชัด ละลายฉากหลัง วางไว้ตรงจุดตัดเก้าช่อง
แค่นี้ก็ดูเป็นโปสการ์ดเลยครับ ^^"
มือใหม่อย่างผมก็ทำได้ไม่ยาก ^^
(เจ้าแมลงปอตัวนี้มีตาด้วยครับ มองกล้องด้วย >"<)



ผึ้ง!!!...>"< ตัวนี้จะยากขึ้นมาอีกนิด มันไม่ค่อยบินไปไหนไกล
และที่สำคัญ มันไม่กลัวคนแน่นอนครับ ^^"
ใครไม่เชื่อลองเข้าไปใกล้ๆ มันดู Y_Y 555+



ปัญหาในการถ่ายผึ้งนอกจากต้องระวังมันจะต่อยเอาแล้ว...>"<
มันยังไม่ค่อยทำท่าทางสวยๆ อะไรเท่าไหร่ แถมปีก ก็เร็วๆๆๆ มากๆๆๆ
ถ้าแสงไม่พอ หรือสปีดชัตเตอร์ไม่ถึง ปีกก็จะเบลอทันทีครับ
ผึ้งส่วนใหญ่จะตัวเล็กกว่าแมลงปอพอสมควร...

เราอาจจะใช้พวกเส้นลายของฉากหลัง
หรือดอกไม้ใบหญ้าต่างๆ มาเพิ่มความสวยให้รูปของเราอีกทางก็ได้ครับ...



ผมก็พยายามถ่ายตอนมันบินอยู่บ้าง...แต่...ฝีมือไม่ถึงขั้นครับ Y_Y
ความไม่ชัดและเบลอ...ก็เลยตามมาพร้อมๆ กัน



และพระเอก ที่บรรดาๆ ชาวมาโครต้องเคยฝึกถ่าย ก็คือ ผีเสื้อครับ...
ผีเสื้อคือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่แสนจะสวยงาม บอบบาง...น่าทะนุถนอม...
และ...มันไม่ตกใจเมื่อได้ยินเสียงครับ ^^
ดังนั้น เรามีสิทธิ์ย่องเข้าไปหามันใกล้ๆ ได้...



ผีเสื้อเป็นที่นิยมเพราะ...ปีกที่สวยสารพัดสี สารพันเผ่าพันธุ์ และยังมีท่าทางที่...
น่ารัก อิสระ เสรี...โบกบินไปมา...แต่ถ่ายไม่ทันหรอกครับ 555+
เราก็ควรเลือกถ่ายตอนที่มันเกาะนิ่งๆ รอให้เห็นสีบนปีกบ้าง รอมันกางปีก
เพราะบางทีผีเสื้อบางตัว เวลาหุบปีกเนี่ยดูแทบไม่ได้ครับ >"<
รอให้เกาะดอกไม้สวยๆ บ้าง ช่วยเพิ่มความสวยของรูปได้อีกทาง...

ลองมาดูจังหวะของรูปที่ไม่ควรถ่ายครับ นอกจากจังหวะแล้ว...
มุมมองก็ไม่ได้เรื่องครับ ถ่ายผีเสื้อแต่ได้รูปตัวอะไรไม่รู้ 555+
(แนะนำว่าให้กดรัวๆๆๆ ไปเลยครับ รอปีกกางเดี๋ยวถ่ายไม่ทัน >"<)



เชื่อเถอะครับว่าถ่ายผีเสื้อตอนกางปีก ย่อมดีกว่าตอนหุบปีกแน่นอน 555+



ถ้ามันหุบปีก เราก็ย้ายมาถ่ายด้านข้างก็ได้...ถ้าปีกด้านในกับด้านนอกสวยพอๆ กัน
แต่...ผีเสื้อบางชนิดปีกด้านในกับด้านนอกสวยกันคนละโลกก็มีครับ...



ที่ผมว่าถ่ายยากที่สุด...ก็คือตอนมัน บินๆๆๆ นี่แหล่ะครับ Y_Y ปีกเบลอๆ ไปเลย



แต่แล้ว...ในขณะที่ผมกำลัง ซูมๆ หมุนๆ จดๆ จ้องๆ เจ้าตัวเหลืองๆ นี้อยู่...
กำลังรอว่าเมื่อไหร่มันจะหันมายิ้มหวานให้ผมซะที...

ผมก็ได้พบกับเรื่องสุดสะเทือนขวัญ!!!!!!!!! Y_Y
เจ้าผีเสื้อน้อยสีเหลืองของผม...ผมได้ถ่ายรูปสุดท้ายแห่งชีวิตของมัน...


เพราะหลังจากนั้น...มีนกตัวนึง ตาแดงกล่ำ ย่องเข้ามา...
ขนาดใหญ่มหึมา...ใหญ่กว่าโลกของมาโคร...
แล้วก็คาบเอาเจ้าตัวเหลืองที่แสนน่ารักไป...Y_Y
คาบไปต่อหน้าต่อตา...
ผมนั่งก้นจ้ำเบ้า...ไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น...

เจ้านกตาแดงกระโดดกับพื้นไม่กี่ก้าวเข้าข้างทางแล้วก็...บินขึ้นไปบนกิ่งไม้
ผมซูมกล้องตามทันที...และก็ได้พบว่า...ที่ปากของมัน...
มีน้องสีเหลืองอยู่...อยู่ในสภาพยับเยิน...
แงๆๆๆๆๆๆๆๆ Y_Y



และอีกไม่กี่อึดใจ...น้องสีเหลืองก็ถูกขม้ำๆๆๆ กลายเป็นผุยผง...Y_Y
ผงผีเสื้อน้อยสีเหลืองฟุ้งกระจาย...คาปากของเจ้าตาแดง...
หายวับไปกับตา...Y_Y



ดูท่าทางมันจะพอใจกับอาหารมื้อนี่มาก...
ไม่รู้ตัวเลยว่า...ผมเฝ้าติดตามมันทุกฝีก้าว...ยืนแอ๊คท่าให้ผมถ่ายรูปอย่างใจเย็น



นี่แหล่ะครับ...ธรรมชาติ...
สัตว์ในโลกมาโครต้องเป็นอาหารของสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่า Y_Y

หวังว่าบทเรียนมาโครครั้งนี้...จะทำให้เพื่อนๆ เข้าใจความหมายของมาโคร...
และ รัก มาโคร กันมากขึ้นกว่าเดิมนะครับ Bye bye T_T










ที่มา: oknation.net



สั่งอัดรูปออนไลน์ / Digital Offset Print / Photo Gift / Photo Book
ได้ที่
www.masterphotonetwork.com


ติดตามข่าวสารและกิจกรรมดีๆ จากมาสเตอร์ได้ที่
Facebook : Master Photo Network   
คำคมที่ใช้ในการถ่ายภาพ , Photo Book, ภาพตลก, ภาพ สวยๆ, ภาพข่าว, ภาพถ่าย, ร้านมาสเตอร์,



เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
"มาสเตอร์" เรามีประสบการณ์ด้านการอัดภาพมายาวนานกว่า 40 ปี โดยเราเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ลงเครื่องอัดภาพระบบต่อเนื่อง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำว่า "รอรับได้ทันที" ที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน "มาสเตอร์" เป็นรายแรกที่บุกเบิกการอัดภาพระบบดิจิตอลอย่างเป็นระบบและครบวงจร เป็นผู้สร้างมาตรฐานรูปแบบการอัดต่างๆ ในการสั่งอัดรูปดิจิตอล นอกจากนี้ “มาสเตอร์” ยังเป็นผู้สร้างสรรค์งานออกแบบและงานผลิตสิ่งพิมพ์คุณภาพทุกชนิด "มาสเตอร์" เล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้อินเตอร์เน็ตและประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับ เว็บไซต์ www.MasterPhotoNetwork.com จึงถูกก่อตั้งขี้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 และเปิดให้ลูกค้าสามารถอัพโหลดและสั่งอัดภาพผ่านทางหน้าเวปไซต์ในปี พ.ศ.2551 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ของเราจากทุกภาคทั่วประเทศ เรามีระบบการจัดส่งที่หลากหลายเพื่อความสะดวกสบายของลูกค้า และด้วยพนักงานที่จะคอยดูแลท่านพร้อมเครื่องอัดภาพที่ทันสมัยที่สุด เราสามารถรองรับงานได้ทุกรูปแบบ ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่างานที่ออกไปจากเราจะมีคุณภาพที่เป็นมาตรฐานและส่งตรงถึงมือลูกค้าอย่างแน่นอน